Wednesday, February 18, 2015

คิดว่ามันง่ายหรืออย่างไร ที่จะมีหัวใจจิตอาสา ?

"นุ่น" พัชญา สาทา หรือที่เพื่อนๆ รู้จักกันในนามของ "นุ่นอาสา" เธอคือ 1 ในผู้นำองค์กรนิสิตของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ นั่นก็คือชมรมอาสาพัฒนามหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เป็น 1 องค์กรที่ช่วยขับเคลื่อนกลไกความมีจิตอาสาในตัวของนิสิตที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ให้มีจิตสำนึกต่อสาธารณะ มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนในสังคม อันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการอยู่ร่วมกันของคนในสังคม ซึ่งกว่าที่ นุ่น พัชญา สาทา จะสามารถมายืนอยู่ ณ จุดนี้ได้นั้นไม่ได้เป็นเรื่องง่ายๆ เลย เธอต้องผ่านบททดสอบทั้งร่างกายและแรงใจจากรุ่นพี่หลายๆคนในชมรม อีกทั้งในส่วนของการไปค่ายอย่างสม่ำเสมอซึ่งเธอก็ทำได้เป็นอย่างดี ไม่ได้ขาดตกบกพร่อง จนถึงวันที่เลือกตั้งประธานชมรม ทุกๆคนก็ได้ไว้วางใจในการคัดเลือกให้เธอเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนชมรมอาสาพัฒนามหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่าประธานชมรม

วันนี้ผมได้มีโอกาสเข้าไปสัมภาษณ์เธอถึงแรงบันดาลใจในการทำงานจิตอาสาและพูดคุยถึงปัญหาต่างๆที่เธอได้พบเจอแล้วอยากจะแก้ไขให้ดีขึ้น เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้นติดตามอ่านกันได้เลยครับ

ประวัติส่วนตัว
ชื่อจริง พัชญา นามสกุล สาทา ชื่อเล่น นุ่น เกิดเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2536 เป็นนิสิตชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาเอกภาษาไทย(กศ.บ.) คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานชมรมอาสาพัฒนามหาวิทยาลัศรีนครินทรวิโรฒ

1.ทำไมถึงอยากทำงานจิตอาสา ?
ก่อนหน้านี้ที่จะเข้ามหาวิทยาลัย ไม่เคยรู้ตัวเองเลยว่าชอบทำกิจกรรมหรือทำค่ายในรูปแบบนี้ รู้แค่ว่าตัวเองจะเป็นขี้สงสารเพราะเพื่อนบอกว่าเราชอบให้เงินเวลามีคนที่เขาเป็นขอทานมาขอ เราก็จะให้โดยไม่คิดให้ดีก่อนว่าเขาเป็นคนพิการจริงๆหรือเป็นแค่มิจฉาชีพ พอเราเข้ามหาวิทยาลัยตั้งแต่ปีหนึ่งต้นเทอมแรกเลยรุ่นพี่ที่เรียนวิชาเอกเดียวกันเขาก็ชวนให้เราไปค่ายเพื่อนใหม่ซึ่งเป็นค่ายแรกของชมรมอาสาพัฒนา มศว เราก็ได้มีโอกาสได้ทำกิจกรรมต่างๆภายในค่ายไม่ว่าจะเป็นเทพื้นถนนให้โรงเรียน จัดกิจกรรมให้กับเด็ก ทำให้เรารู้สึกว่ากิจกรรมพวกนี้มันก็สนุกดีและก็มีประโยชน์กับคนอื่นด้วย โดยเราก็สังเกตจากรอยยิ้มของเด็กๆที่เราไปทำกิจกรรมร่วมกับเขา ในวันที่พวกเราจะออกมาจากค่ายเด็กๆก็วิ่งมากอดเราและก็ร้องไห้ ถามว่าเราจะกลับมาหาพวกเขาอีกไหม เราก็รู้สึกตกใจเหมือนกันนะที่อยู่ดีๆคนที่พึ่งจะมารู้จักกันไม่กี่วัน เราร้องไห้ให้กันได้ด้วยหรอมันคงเป็นความรู้สึกอะไรสักอย่างที่ดีมากแน่ๆที่พวกเรายังมีการโบกรถกันไปเซอร์เวย์ค่ายตามสถานที่ต่างๆ ทำให้เรารู้สึกว่ายังมีคนไทยอีกมากมายที่มีน้ำใจ อีกทั้งเพื่อนๆรุ่นพี่รุ่นน้องที่อยู่ในชมรมเวลามีปัญหาอะไร เราไม่เพียงช่วยกันแค่เพียงเรื่องงาน เรื่องส่วนตัวเวลามีอะไรเราปรึกษากันได้ มิตรภาพที่เกิดขึ้นและความประทับใจต่างๆเหล่านี้ รวมทั้งการได้แบ่งปันสิ่งดีๆให้คนที่ขาดโอกาส มันทำให้ฉันอยากทำงานอาสา แม้ว่าเราจะเรียนจบไปแล้วก็คิดไว้ด้วยว่ายังจะทำกิจกรรมแบบนี้ต่อไป นอกจากนี้แล้วการมาค่ายอาสามันทำให้เรารู้จักกับเพื่อนใหม่ๆ รุ่นพี่ รุ่นน้อง ทั้งคณะเดียวกันและต่างคณะกัน มันเป็นมิตรภาพที่ดีมากๆ พอกลับออกมาจากค่ายพวกเราก็ชวนกันไปเที่ยวบ้าง กินข้าวด้วยกันบ้าง สิ่งเหล่านี้มันทำให้ฉันมีความสุขทำให้ฉันอยากไปค่ายอีกครั้งอยากรู้จักเพื่อนเยอะๆ พอค่ายต่อไปที่ไป พี่ที่เขาเป็นกรรมการชมรมก็มาขอให้เราไปช่วยทำกิจกรรมในค่าย ไปเป็นอนุกรรมการนั่นเป็นงานแรกในชมรมอาสาที่เราได้ทำ หลังจากนั้นเราก็ได้เข้ามาเป็นคณะกรรมการของชมรมอย่างเต็มตัว เราไปค่ายทุกค่ายของชมรมไม่เคยขาด ในแต่ละค่ายจะมีปัญหาต่างกัน แต่ละปัญหามันสอนให้เราโตขึ้น ความรับผิดชอบมากขึ้น มีความคิดรู้จักแก้ไขปัญหามากขึ้นและการทำงานร่วมกับคนอื่นนั้นมันสอนให้ฉันลดความเป็นตัวตนและรับฟังความเห็นของคนอื่นมากขึ้น นอกจากนี้เราได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆมากมายจากชมรม เช่น การเซอร์เวย์ค่าย


2.ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบในการทำงาน ?
ปัญหาที่สำคัญ คือปัญหาเรื่องงบประมาณของการทำค่ายอาสาในแต่ละครั้ง งบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนนั้นได้มาไม่เพียงพอ พวกเราจึงต้องช่วยกันในการหาทุนเพื่อสนับสนุนให้การจัดค่ายแต่ละครั้งให้มีเงินหรือวัสดุต่างๆเพียงพอ ในการที่พวกเราจะเข้าไปช่วยเหลือโรงเรียนต่างๆ  วิธีการหาทุนในการช่วยเหลือก็มีหลายทางทั้งการหาผู้สนับสนุนจากทางบริษัทสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆรวมไปถึงการเล่นกีตาร์เปิดกล่องขอรับบริจาคเงินตามสถานที่ต่างๆ การที่พวกเราทำเช่นนี้ก็มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย คนที่เห็นด้วยเขาก็จะให้ความช่วยเหลือเรา คนละเล็กคนละน้อย คนไหนไม่ได้เดินมาบริจาคเงินก็เดินมาคุยด้วยให้กำลังใจก็มี พวกเราก็เก็บเอาสิ่งดีๆเหล่านั้นมาเป็นแรงใจในการทำงานไม่เก็บเอาความคิดของคนที่ไม่เห็นด้วยมาบั่นทอนการทำงานช่วยเหลือสังคมของพวกเราเอง

เรื่องที่สองคือการทำงานค่ายอาสาในแต่ละครั้งไม่เพียงแต่ทำงานร่วมกับเพื่อนๆ รุ่นพี่ รุ่นน้อง ที่เป็นนิสิตเท่านั้นยังต้องทำงานร่วมกับองค์กรอื่นในมหาวิทยาลัย ไม่ใช่เพียงแค่การรวมกลุ่มกันไปหาโรงเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือแล้วไปทำค่ายกันได้เลย ต้องมีการเขียนเอกสารขออนุมัติโครงการและงบประมาณหรือหนังสือขออนุญาตพานิสิตที่เข้าร่วมโครงการของเราออกนอกสถานที่อีกเป็นต้น บางครั้งก็จะเกิดความล่าช้าบ้างโดยส่วนใหญ่ก็จะมีสาเหตุมาจากที่คนในชมรมยังบริหารเวลาในการจัดการงานไม่ดี เพราะทุกคนที่มาทำงานรวมกันนี้ ก็ต่างมีภาระงานอื่นๆที่เป็นหน้าที่ของตนเอง แต่ในทุกๆครั้งพวกเราก็จะช่วยเหลือกันจนงานสำเร็จไปได้ด้วยดี

ส่วนปัญหาอื่นๆในการทำงานร่วมกันอาจจะมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่พวกเราก็จะหันหน้าคุยกันและรักษามิตรภาพที่ดีของพวกเราไว้ได้เหมือนเดิม


3.สิ่งที่ได้รับกลับมาจากการทำงานจิตอาสา ?
ประสบการณ์ในการทำงานจากค่ายที่สามารถนำไปปรับใช้ในการเรียน การทำงานของตนเองได้เป็นอย่างดี และมิตรภาพจากเพื่อนร่วมงานที่ดีมาก และสุดท้ายก็คือความสุขใจที่เราได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคมให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น


4.จิตอาสากับสังคมโลก ในฐานะที่เรากำลังจะเปิดอาเซียน จิตอาสามีผลอย่างไรบ้าง ?
การทำงานด้านจิตอาสาทั่วโลกหรือในประเทศอาเซียนนั้น จะเห็นได้ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่ทำงานตรงนี้ ดังนั้นการที่เราเปิดประเทศอาเซียนอาจจะทำให้เราได้มีโอกาสพบกับคนที่ทำงานเพื่อสังคมด้วยกันจากต่างประเทศมากขึ้น เราอาจจะได้มีการแลกเปลี่ยนแนวคิดการทำงานเพื่อช่วยเหลือสังคมด้วยกัน และการทำงานเพื่อสังคมของเราอาจจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นและส่งผลให้สังคมให้น่าอยู่มากเพิ่มขึ้นอีกด้วย


5.อยากพัฒนาอะไรให้กับจิตอาสาไทยบ้าง ?
จากการทำงานตรงนี้ทำให้เราเห็นว่ามีหลากหลายองค์กรมากมายที่มีกิจกรรมเกี่ยวกับการทำงานด้านจิตอาสา ยกตัวอย่างเช่น ชมรมฝ่ายบำเพ็ญประโยชน์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ เราอยากจะเห็นการทำงานของค่ายที่เกี่ยวกับจิตอาสาต่างๆ เป็นการทำงานเพื่อช่วยเหลือสังคมจริงๆ ไม่ใช่เป็นการทำค่ายเพื่อสนองความต้องการของตนเอง ชุมชนหรือโรงเรียนที่เราเข้าไปช่วยเหลือต้องได้รับประโยชน์มากที่สุด ไม่อยากให้คนที่มาทำงานจิตอาสาตรงนี้คิดว่า ค่ายอาสาคือที่ท่องเที่ยวราคาถูก แต่มันคือแหล่งสะสมประสบการณ์และการแบ่งปันสิ่งดีๆคืนสู่สังคม



Monday, February 2, 2015

อ่านสักนิด ชีวิตก็เปลี่ยน

http://sv6.postjung.com/wb/data/679/679999-topic-ix-0.jpg
ปัจจุบันนี้การใช้สื่อแบบสังคมออนไลน์ติดต่อกันในทุกรูปแบบ social network ได้เข้ามามีส่วนในชีวิตประจำวันของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก ไม่ใช่แค่เพียงบนเครื่อง Desktop ที่สามารถต่ออินเตอร์เน็ตเท่านั้น ยังรวมไปถึงบน    สมาร์ทโฟนอีกด้วย  โดยใช้เครื่องมืออะไรก็ได้ที่เป็นทางผ่านเพื่อให้เข้าได้ถึงโลกของสังคมเครือข่าย โดยไม่ได้คำนึงถึงโลกของความจริงรอบตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างและคนส่วนใหญ่ในสังคมสมัยใหม่ก็ถึงกับขาดไม่ได้จนทำให้พฤติกรรมเหล่านี้เป็นโรคเสพติด
http://www.tabletpcthai.com/userfiles/68622119-cell-phone.jpg

social network กลายเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนบริการต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต และผู้คนถูกเชื่อมโยงเข้าหากันผ่าน social network เกิดพฤติกรรมการแชร์ มีการแลกเปลี่ยน ข้อมูล ข่าวสารมากมาย เริ่มแสดงออกและนำชีวิตส่วนตัวมาเปิดเผยมากขึ้น ผู้ใช้ก็อยากรู้เรื่องราวและชีวิตส่วนตัวของคนอื่นมากขึ้น ทุกคนก็อยากให้คนอื่นมาสนใจเรื่องของตัวเอง ผ่านทางเครื่องมืออย่าง ยกตัวอย่างเช่น การคอมเมนต์ การแชร์รูป การโพสต์สถานะว่าทำอะไร คิดอะไร หรืออยู่ที่ไหน เมื่อมีการเปิดเผยเรื่องของตัวเองมากขึ้น เริ่มมีเพื่อน คนรู้จักมาให้ความสนใจมากขึ้น กลายเป็นพฤติกรรมที่กระตุ้นให้เปิดเผยเรื่องของตัวเองที่เคยเป็นเรื่องส่วนตัวมากยิ่งขึ้น จนหลายครั้ง ผู้ใช้เริ่มแยกแยะไม่ออก เรื่องใดควรเปิดเผยหรือไม่ควรเปิดเผย ควรเปิดเผยกับใครและไม่ควรเปิดเผยกับใครคนส่วนใหญ่เริ่มขาดความระมัดระวังในเรื่องของการแชร์เรื่องของตัวเอง ขาดความตระหนักถึงภัยอันตรายที่เกิดจากความรู้ไม่เท่าทัน ความน่าเป็นห่วงของคนสมัยนี้คิอเครือข่ายสังคมทั่วโลกที่เกิดขึ้น ความไม่รู้ถึงโอกาสถูกติดตามและถูกคุกคามในโลกความจริง เพียงแค่รูปถ่ายหนึ่งใบที่โพสต์ที่มีชื่อที่อยู่ หรือเลขที่บ้านปรากฏอยู่ก็สามารถเป็นข้อมูลติดตามตัวได้ง่ายดาย หรือการโพสต์รูปสินค้าราคาแพงๆที่ซื้อมาเพื่ออวดเพื่อน ก็จะเป็นการชี้ช่องทางให้กลุ่มมิจฉาชีพโดยที่เราไม่รู้ตัว 
การที่เราทำกิจกรรมใดๆโดยขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องนั้นๆก็มักจะทำให้เราเกิดข้อผิดพลาดได้อยู่เสมอ วันนี้ผมเลยนำเกล็ดความรู้พื้นฐานที่จำเป็นต่อการใช้ Social Network ที่หลายๆคนอาจมองข้ามมาฝากครับ


สิ่งที่ผมได้นำมาฝากผู้อ่านบล็อกทุกท่านนั้น เป็นความรู้พื้นฐานก่อนที่ทุกท่านจะเริ่มใช้ Social Network กัน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามควรจะศึกษาข้อมูลเหล่านี้ก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมข้อมูลผ่านทาง Interenet ความรู้พื้นฐานเหล่านี้เป็นสิ่งที่สามารถช่วยเตือนสติผู้ใช้ Social Network ให้คิดก่อนทำคิดก่อนโพสต์ได้เป็นอย่างดี และสุดท้ายนี้ผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งครับว่าเกล็ดความรู้เล็กๆน้อยๆที่ผมนำมาฝากผู้อ่านบล็อกทุกท่านนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากกับทุกๆท่านที่ได้อ่านนะครับ
ธนวิชญ์

Sunday, February 1, 2015

Lucky $2 bill !

จริงหรือมั่ว ชัวร์หรือไม่ ?


สวัสดีผู้อ่านบล็อกทุกท่านครับ กลับมาอีกครั้งกับการถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของผมโดยการถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือผ่านบล็อก ซึ่งเรื่องที่ผมจะได้นำมาเล่าให้ทุกท่านฟังเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อความเชื่อหนึ่งของฝรั่งชาวอเมริกัน ซึ่งต้องของบอกก่อนเลยนะครับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมากสำหรับคนไทยอย่างผม


ผมได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อ 6 เดือนที่ผ่านมาในโครงการ Work and travel โดยเมืองที่ผมได้เดินทางไปนั้นมีชื่อว่า Midland อยู่ทางตอนกลางของรัฐ Texas ซึ่งภูมิประเทศโดยรอบแล้วเป็นทะเลทราย โดยการไปทำงานครั้งนี้ผมได้ไปทำอยู่ในร้าน Fastfood คล้ายๆกับร้าน Mc Donald's บ้านเรา แต่แตกต่างกันที่ร้านที่ผมไปทำนั้นจะไม่มีโต๊ะให้ลูกค้านั่งทานในร้าน ส่วนใหญ่จะเน้นเสริฟอาหารตามที่จอดรถที่ร้านเตรียมไว้ให้ หรือถ้าจะอธิบายง่ายๆก็คือแค่ท่านจอดรถในบริเวรของร้าน แล้วกดปุ่มสั่งอาหารที่อยู่ทางซ้ายมือของท่าน อาหารที่ท่านต้องการก็จะออกไปหาท่านภายใน 3 นาทีเท่านั้น
แล้วมันเกี่ยวข้องยังไงกับความเชื่อละครับ นี่ไงครับผมกำลังจะเล่าว่าตอนแรกๆที่ผมไปทำงานเนี่ย อยู่แต่ในห้องครัวครับ ทำเครื่องดื่มแล้วให้คนอื่นไปเสริฟซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าภาษาอังกฤษเราไม่ค่อยดี นายจ้างเลยคิดว่าเรายังไม่พร้อม พอผมรู้อย่างนั้นก็พยายามพัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยๆภายในเวลาไม่เกิน 2 อาทิตย์ผมก็ได้มีโอกาสออกไปเสริฟอาหารเหมือนที่เด็กฝรั่งเขาทำกันบ้าง ตื่นเต้นมาเลยครับเพราะเป็นคนไทยคนแรกที่มีโอกาสได้ทำ


เรื่องราวเริ่มต้นจากวันแรกที่ผมย้ายตำแหน่งไปเป็นเด็กเสริฟนี่แหละครับ ซึ่งแน่นอนว่าการออกไปเสริฟอาหารให้ลูกค้า จะต้องมีการรับเงินทอนเงินกันเกิดขึ้น ในตอนแรกๆผมก็ไม่ได้สังเกตอะไรนะครับเพราะมัวแต่กลัวว่าจะทอนเงินผิดๆให้กับลูกค้าเพราะค้าเงินไทยกับดอลลาร์มันต่างกัน จนเมื่อผมได้เจอลูกค้าท่านนึง เธอสั่งเมนูอาหารแบบราคาประหยัดหรือที่เรียกว่า Dollars Menu ซึ่งผมก็ได้รับหน้าที่นำไปส่งที่รถของเธอ เมื่อเธอเห็นผมเดินมาเธอก็ได้เลื่อนกระจกลงแล้วสอบถามราคา ผมซึ่งเป็นคนที่ไม่ค่อยจะอายเมื่อถึงเวลาพูดภาษาอังกฤษแล้วคิดเพียงแค่จะสื่อสารยังไงให้เขารู้เรื่องก็ได้สวัสดีสอบถามว่าสบายดีไหมเป็นยังไงบ้างไปเรื่อยเปื่อย และได้คุยกันประมาณ 30 วินาทีโดยประมาณ โดยปกติแล้วธรรมเนียมของคนอเมริกันเมื่อมีการบริการที่ไหน การให้ทิปถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เช่นเดียวกับผู้หญิงคนนี้ อาหารของเธอราคา $7.50 เธอยื่นแบงค์ $50 แบงค์ แล้วเธอก็พูดประมาณว่า "ขอให้สนุกกับการทำงาน ฉันเชื่อว่าคุณจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จจากการทำงานถึงแม้จะเป็นร้านฟาสฟู้ดธรรมดาก็ตาม" แล้วเธอก็เอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเพื่อควักแบงค์ดอลลาร์อีกใบหนึ่งซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อนพร้อมกับพูดว่า "เก็บมันไว้นะ มันจะนำพามาซึ่งความโชคดีและความมั่งคั่ง อ่อแล้วไม่ต้องทอนนะคุณเหมาะสมที่จะได้รับมัน" ความประหลาดใจอย่างแรกคือเธอเป็นลูกค้าที่อัธยาศัยดีมากจนผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง อย่างที่สองคือที่ผ่านๆมาผมจะได้ทิปในการเสริฟอาหารในแต่ละครั้งอยู่ที่ $2-$20 เท่านั้น เธอเป็นคนแรกที่ให้ทิปผมเยอะมากขนาดนี้ และอย่างสุดท้ายอย่างที่ 3 เธอเอาแบงค์ $2 ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนทั้งในตอนไปแลกเงินก่อนจะไปที่นั้น และผมอยู่ที่นั่นมาเกือบ 1 เดือนผมก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน

ด้วยความที่ผมเป็นช่างสงสัยไม่อยากให้อะไรมันค้างคาเลยกลับเข้าไปถามเพื่อนในร้านที่เป็นชาวอเมริกันด้วยความเร่งรีบ พอเข้าไปถึงในร้านผมก็ตรงดิ่งเข้าไปหาเด็กเสริฟด้วยกัน เมื่อผมหยิบแบงค์ $2 ขึ้นมาเพียงเท่านั้นบรรยากาศในร้านเต็มไปด้วยเสียงอุทานราวกับว่าทุกคนตกใจกับสิ่งผมทำลงไป ณ ตอนนั้นกังวลมากครับเพราะเป็นช่วงที่แบงค์ปลอมระบาด คิดในใจว่าผมโดนหลอกแน่ๆ หลังจากนั้นนายจ้างก็รีบเดินเข้ามาแล้วพูดประมาณว่า "คุณโชคดีมากเลยนะรู้มั้ย คนบางคนทำงานที่นี่มาเกือบปียังไม่เคยได้แบงค์ $2 มาก่อนเลย" นายจ้างได้สร้างความประหลาดใจให้ผมเป็นอย่างมาก ณ เวลานั้น ซึ่งผมก็ได้ถามต่อไปว่าแล้วมันดียังไงหรอความเชื่อนี้ นายจ้างก็ได้อธิบายว่า

"คนที่ทำมาค้าขายถ้าได้รับแบงค์ $2 จะเหมือนเป็นการอวยพรให้โชคดีในการค้าขาย จะมีโชคลาภเงินทองไหลมาเทมา และจะประสบความสำเร็จในการทำงาน เพราะโดยส่วนมากแล้วใครที่มีแบงค์ $2 นี้ก็มักจะเก็บไว้กับตัวเองไม่ส่งต่อให้ใครเพราะมีความเชื่อว่าจะเก็บไว้ให้เป็นเครื่อลางนำโชคให้กับตัวเองนั่นเอง เก็บมันไว้ในกระเป๋าตังค์นะแล้วคุณจะโชคดี"


ตอนแรกผมไม่เชื่อเลยนะครับว่ามันจะเป็นจริง เพราะคนในร้านเป็นคนติดตลก อาจจะอำกันเล่นก็เป็นได้ แต่หลังจากนั้นผมก็เก็บแบงค์ $2 ไว้ในกระเป๋าตังค์ตลอดโดยที่ไม่ใช้เลยนะครับ แล้วหลังจากวันนั้นพอผมไปทำงานเป็นเด็กเสริฟอีก ทิปที่ผมได้ก็เริ่มเยอะขึ้นนายจ้างก็ให้ชั่วโมงงานที่เยอะขึ้น (ประมาณว่าเยอะกว่าเพื่อนคนไทยที่ไปด้วยกันและให้ทำทุกวันเวลาเดิมเป็นอันนำมาซึ่งรายได้ที่คงที่) พอมานับทิปที่ผมได้ สัปดาห์แรกที่ผมทำงานเป็นเด็กเสริฟได้เงินเฉลี่ยนต่อวันเพียง $60 สัปดาห์ถัดมาหลังจากที่ได้แบงค์ $2 แล้วทิปอยู่ที่ $120 อาทิตย์ต่อๆมาก็ได้เยอะขึ้นเรื่อยๆถึงขั้นได้สูงสุดถึง $152 ต่อวันซึ่งเป็นอะไรที่สร้างความประหลาดใจให้กับผมเป็นอย่างมาก แทบไม่เชื่อตัวเองเลยว่าทำไมถึงโชคดีอะไรได้ถึงขนาดนั้น อาจจะเป็นเพราะทำงานดีขึ้นคล่องขึ้นพูดเก่งขึ้น แต่ก็ไม่น่าจะทำได้ถึงขนาดนั้น ผมเลยยกความโชคดีทั้งหมดนี้ให้กับแบงค์ $2 ของผมอย่างเดียวเลยครับ  


ปัจจุบันนี้ผมมีแบงค์ $2 อยู่ในกระเป๋าตังค์ถึง 2 ใบแล้วครับ และก็คิดว่าจะเก็บไว้ต่อไปไม่ใช้อย่างแน่นอน เพื่อเก็บไว้เป็นเครื่องลางอันนั้นมาซึ่งความโชคดีของผมยังไงละครับ