Thursday, April 16, 2015

เที่ยวไทยได้ความรู้ สิ่งที่อยู่คู่กับคนไทย

พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นเมืองลับแล


อยู่ห่างจากตัวเมืองอุตรดิตถ์ ประมาณ 8 กม. ตามทางหลวงหมายเลข 102 ประมาณ 3 กม. เลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 1041 ประมาณ 6 กม. เป็นเมืองโบราณมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เคยเสด็จมาเมื่อ วันที่ 24 ตุลาคม 2444 ความเป็นมาของคำว่า "ลับแล" นั้น ตามข้อสันนิษฐานของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพว่า เดิมชาวเมืองแพร่ เมืองน่าน หนีข้าศึกและความเดือดร้อนมาซุ่มซ่อนตั้งชุมชนอยู่ เนื่องจากเป็นที่ ป่าดงหลบซ่อนตัวง่ายและภูมิประเทศเป็นเมืองอยู่ในระหว่างเขามีที่เนินสลับกับที่ต่ำ คนต่างเมือง ถ้าไม่คุ้นเคยกับภูมิประเทศจะหลงทางได้ง่าย แต่ปัจจุบันมีถนนตัดผ่านทำให้สภาพป่าหมดไป ความลึกลับของเมืองจึงหายไป และยังมีอีกหลายตำนานที่กล่าวถึงเมืองลับแล ปัจจุบันอำเภอลับแล เป็นแหล่งผลิตสินค้าหัตถกรรม เช่น ผ้าตีนจก ไม้กวาด นอกจากนั้นยังมีสวนลางสาด ซึ่งเป็นผลไม้ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดในอำเภอลับแล




มีตำนานเล่าว่า ครั้งหนึ่งมีชายคนหนึ่งเข้าไปในป่า ได้เห็นหญิงสาวสวยหลายคนเดินออกมา ครั้นมาถึงชายป่า นางเหล่านั้นก็เอาใบไม้ที่ถือมาไปซ่อนไว้ในที่ต่าง ๆ แล้วก็เข้าไปในเมืองด้วยความ สงสัยชายหนุ่มจึงแอบหยิบใบไม้มาเก็บไว้ใบหนึ่ง ตกบ่ายหญิงสาวเหล่านั้นกลับมา ต่างก็หาใบไม้ที่ ตนซ่อนไว้ ครั้นได้แล้วก็ถือใบไม้นั้นเดินหายลับไป มีหญิงสาวคนหนึ่งหาใบไม้ไม่พบเพราะชายหนุ่ม แอบหยิบมา นางวิตกเดือดร้อนมาก ชายหนุ่มจึงปรากฏตัวให้เห็นและคืนใบไม้ให้ โดยมีข้อแลก เปลี่ยนคือขอติดตามนางไปด้วยเพราะปรารถนาจะได้เห็นเมืองลับแล หญิงสาวก็ยินยอม นางจึงพา ชายหนุ่มเข้าไปยังเมืองซึ่งชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าทั้งเมืองมีแต่ผู้หญิง นางอธิบายว่า คนในหมู่บ้านนี้ ล้วนมีศีลธรรม ถือวาจาสัตย์ ใครประพฤติผิดก็ต้องออกจากหมู่บ้านไป ผู้ชาย ส่วนมากมักไม่รักษา วาจาสัตย์จึงต้องออกจากหมู่บ้านกันไปหมด แล้วนางก็พาชายหนุ่มไปพบมารดาของนาง ชายหนุ่ม เกิดความรักใคร่ในตัวนางจึงขออาศัยอยู่ด้วย มารดาของหญิงสาวก็ยินยอมแต่ให้ชายหนุ่มสัญญา ว่าจะต้องอยู่ในศีลธรรม ไม่พูดเท็จ ชายหนุ่มได้แต่งงานกับหญิงสาวชาวลับแลจนมีบุตรชายด้วยกัน 1 คน วันหนึ่งขณะที่ภรรยาไม่อยู่บ้าน ชายหนุ่มผู้พ่อเลี้ยงบุตรอยู่ บุตรน้อยเกิดร้องไห้หาแม่ไม่ยอม หยุด ผู้เป็นพ่อจึงปลอบว่า ?แม่มาแล้ว ๆ? มารดาของภรรยาได้ยินเข้าก็โกรธมากที่บุตรเขยพูดเท็จ เมื่อบุตรสาวกลับมาก็บอกให้รู้เรื่อง ฝ่ายภรรยาของชายหนุ่มเสียใจมากที่สามีไม่รักษาวาจาสัตย์ นางบอกให้เขาออกจากหมู่บ้านไปเสีย แล้วนางก็จัดหาย่ามใส่เสบียงอาหารและของใช้ที่จำเป็นให้ สามี พร้อมทั้งขุดหัวขมิ้นใส่ลงไปด้วยเป็นจำนวนมาก จากนั้นก็พา สามีไปยังชายป่า ชี้ทางให้ แล้ว นางก็กลับไปเมืองลับแล ชายหนุ่มไม่รู้จะทำอย่างไรก็จำต้องเดิน ทางกลับบ้านตามที่ภรรยาชี้ทางให้ ระหว่างทางที่เดินไปนั้น เขารู้สึกว่าถุงย่ามที่ถือมาหนักขึ้น เรื่อย ๆ และหนทางก็ไกลมาก จึงหยิบเอาขมิ้นที่ภรรยาใส่มาให้ทิ้งเสียจนเกือบหมด ครั้นเดิน ทางกลับไปถึงหมู่บ้านเดิมบรรดาญาติมิตรต่างก็ ซักถามว่าหายไปอยู่ที่ไหนมาเป็นเวลานานชาย หนุ่มจึงเล่าให้ฟังโดยละเอียดรวมทั้งเรื่องขมิ้นที่ภรรยาใส่ย่ามมาให้แต่เขาทิ้งไปเกือบหมด เหลืออยู่เพียงแง่งเดียว พร้อมทั้งหยิบขมิ้นที่เหลืออยู่ออกมา ปรากฏว่าขมิ้นนั้นกลับกลายเป็นทองคำทั้ง แท่ง ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจและเสียดาย จึงพยายามย้อนไปเพื่อหาขมิ้นที่ทิ้งไว้ ปรากฏว่าขมิ้นเหล่านั้นได้งอกเป็นต้นไปหมดแล้ว และเมื่อขุดดูก็พบแต่แง่งขมิ้นธรรมดาที่มีสีเหลืองทองแต่ไม่ใช่ทองเหมือนแง่งที่เขาได้ไป เขาพยายามหาทางกลับไปเมืองลับแล แต่ก็หลงทางวกวนไปไม่ถูก จนในที่สุดก็ต้องละความพยายามกลับไปอยู่หมู่บ้านของตนตามเดิม 



ปัจจุบันอำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นอำเภอที่มีความน่าสนใจ เหมาะสำหรับการเดินทางไปท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และเกษตรกรรม  วัดวาอารามในอำเภอลับแล อาทิ วัดบรมธาตุทุ่งยั้ง ได้มีการจัดงานประเพรีอัฐมีบูชา หรือ ประเพณีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระพุทธเจ้าจำลอง ขึ้นทุกปี ในช่วงวันแรม 8 ค่ำ เดือน 6 ซึ่งเป็นประเพณีที่ยิ่งใหญ่มีความเก่าแก่ และหาชมได้ยากในปัจจุบัน  ชาวอำเภอลับแล และหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ได้ให้ความสำคัญกับประเพณีอันดีงามนี้ โดยจัดให้เป็นงานประเพณีที่ยิ่งใหญ่ของจังหวัดอุตรดิตถ์สืบต่อกันมาทุกปี
นอกจากนี้ ด้วยสภาพภูมิประเทศอันเป็นเอกลักษณ์ ที่ไม่มีที่ใดเสมอเหมือน ทำให้ชาวบ้านในอำเภอลับแล สามารถผลิตผลไม้ประเภททุเรียนพันธุ์หลงลับแล และ หลินลับแล ซึ่งเป็นสายพันธุ์ใหม่ ที่ปลูกได้ในพื้นที่อำเภอลับแลเท่านั้น  มีรสชาติอร่อย ราคาแพง แต่สามารถหาซื้อรับประทานได้  โดยทุเรียนพันธุ์หลงลับแล และ หลินลับแล นั้นจะออกในช่วงเดือนมิถุนายน และ กรกฎาคม   
     หากนักท่องเที่ยวมีความสนใจ ทางอำเภอลับแลได้จัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ชมสวนทุเรียน และโบราณสถานต่างๆ ในอำเภอลับแล ไว้คอยบริการ นักท่องเที่ยวจะได้ชมวิถีชีวิตของชาวสวนทุเรียน ซึ่งมีการเก็บเกี่ยว การขนส่งทุเรียนจากต้นข้ามภูเขา โดยการใช้รอกลวดสลิง  และการขับขี่รถจักรยานยนต์บรรทุกทุเรียนลงมาจากภูเขาด้วยความชำนาญ  นอกจากทุเรียนแล้ว ก็ยังมีผลไม้อื่นอีก เช่น ลางสาด , ลางกอง (สายพันธุ์ผสมกับ ลางสาด) นับได้ว่า หากมาเที่ยวเมืองลับแล้ว คงต้องใช้เวลา 2 – 3 วัน จึงจะเดินทางท่องเที่ยวชมวิถีชีวิต ซึมซับประสบการณ์ใหม่ของชาวอุตรดิตถ์ ได้อย่างครบถ้วน

การบูรณาการแหล่งเรียนรู้
วิชา สังคมศึกษา ชั้นปีที่ 4 เรื่อง วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของคนไทยในอดีตโบราณ

ผลการเรียนรู้ที่จะได้รับในด้านความรู้
แบ่งกลุ่มผู้เรียนออกเป็น 4 กลุ่ม โดยให้ผู้เรียนในแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมาจับฉลากหัวข้อเรื่องที่ตนเองต้องไปศึกษาเพื่อนำมาเล่าให้เพื่อนๆฟัง โดยจะให้เวลาศึกษากลุ่มละ 30 นาที แล้วหลังจากนั้นกลับมาเล่าให้เพื่อนๆฟังถึงเรื่องที่กลุ่มของตนเองได้ไปศึกษามา เมื่อทุกกลุ่มเล่าเรื่องของตนเองจบ ก็ให้เวลาผู้เรียนได้ไปค้นหาความรู้ด้วยตนเองอีกภายในเวลา 30 นาที เมื่อถึงเวลาที่กำหนดแล้วก็ให้ผู้เรียนกลับมาที่จุดนัดหมาย ผู้เรียนจะเกิดความอยากรู้ในสิ่งที่เพื่อนไปศึกษา และจะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดกันในเรื่องที่น่าสนใจและไม่น่าสนใจ
หัวข้อที่ให้ผู้เรียนไปค้นหา มีทั้งหมด 5 หัวข้อ
1) ประวัติผ้าซิ่นตีนจก
2) ประวัตอการทำไม้กวาด
3) ประวัติอาหารการกิน
4) ประวัติการจักสาน

ผลการเรียนรู้ที่จะได้รับในด้านทัศนคติ
ผู้เรียนเกิดความไคร่อยากรู้ประวัติศาสตร์ โดยการศึกษาด้วยตนเอง ผ่านทางตัวอักษรที่แปะไว้ข้างฝาผนังและผ่านสื่ออุปกรณ์จริงที่มีการจัดแสดงโชว์ภายในพิพิธภัณฑ์ ทำให้ผู้เรียนเกิดทัศนคติในด้านบวกกับวิชาที่เรียนและเกิดแรงผลักดันในทางบวกให้ผู้เรียนอยากเรียนมากขึ้น

ผลการเรียนรู้ที่จะได้รับในด้านทักษะ
ผู้เรียนสามารถค้นหาข้อมูลตามที่ผู้สอนได้มอบหมายให้ไปค้นหาแล้วนำมเล่าให้เพื่อนฟังได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://www.wowutd.com/เที่ยวอุตรดิตถ์/html/0000018.html

Wednesday, April 1, 2015

โครงนิทาน เรื่องมานีเป็นเด็กดี

Theme ค่านิยม 12 ประการ
       ข้อ 2 ซื่อสัตย์ เสียสละ อดทน มีอุดมการณ์ในสิ่งที่ดีงามเพื่อส่วนรวม

ชื่อเรื่อง
       มานีเป็นเด็กดี

กลุ่มเป้าหมาย
       วัยประถมศึกษาตอนต้น (ป.1 - ป.3)

ประเภทหนังสือ
       ส่งเสริมการอ่าน

แก่นของเรื่อง / สาระสำคัญ
       สอนเรื่องความซื่อสัตย์ ไม่คิดอยากได้ของคนอื่น

โครงสร้างเนื้อหา / ความนำและความท้าย
       มานีไปตลาดกับแม่ มานีเห็นร้านขายตุ๊กตา แต่มานีขอแม่ละแม่ไม่ยอมซื้อให้ มานีแยกจากแม่แล้วเจอตังค์ตก มานีคิด 2 อย่าง คืนกับไม่คืน มานีบอกแม่ แม่พาไปหาตำรวจส่งเงินคืนคุณป้า คุณป้าขอบคุณ มานีมีความสุข

ฉาก
       - ข้างตลาด
       - จูงมือเดินตลาด
       - สถานีตำรวจ (ป้อม)
       - เดินกลับบ้าน

ตัวละคร
       แม่, มานี, ป้า, ตำรวจ


Thursday, March 5, 2015

ออกแบบอย่างไรให้ได้ถึง 8 รางวัล !!

The grand hotel Budapest


โปสเตอร์ภาพนี้ที่ผมนำมาฝากนั้น มาจากหนังเรื่อง The Grand Budhapest Hotel ซึ่งเป็นหนังที่เข้ารองชิงรางวัล Oscar และเป็นหนังที่ได้รับรางวัลในสาขาต่างๆอาธิเช่น
BEST PICTURE, BEST ORIGINAL SCREENPLAY, BEST FILM EDITING, BEST PRODUCTION DESIGN, BEST CINEMATOGRAPHY, BEST COSTUME DESIGN, BEST MAKEUP AND HAIRSTYLING, BEST ORIGINAL SCORE

เมื่อผมได้เห็นโปสเตอร์ภาพนี้ครั้งแรก ผมก็มองผ่านเหมือนโปสเตอร์หนังปกติทั่วไปนี่แหละครับ แต่แปลกตรงที่โปสเตอร์หนังเรื่องนี้ทำให้ผมย้อนกลับมาดูอีกครั้ง ซึ่งเมื่อได้กลับมาดูอีกครั้งก็ทำให้เกิดความสนใจ และข้อสงสัยขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการออกแบบ การจัดวาง การใช้สี หรือแม้กระทั่งภาพๆนี้ที่เป็นภาพ 2 มิติ แต่ทำไมถึงให้ความรู้สึกที่ดูแล้วเหมือนภาพ 3 มิติ พอได้ลองหาข้อมูลดูแล้ว การใช้โทนสีของโปสเตอร์จะเน้นความโดดเด่นภาพใต้รูปแบบที่ดูแล้วสบายตามาก มองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่ออีกทั้งการจัดวางองค์ประกอบที่เน้น คฤหาสน์ไว้ตรงกลาง เพื่อให้คนมองได้เห็นสิ่งที่ต้องการสื่อเป็นอันดับแรก นั่นคือคฤหาสน์ และสิ่งที่ผมสงสัยเป็นพิศษนั่นคือการที่ทำให้ภาพ 2 มิติ ดูเหมือนภาพ 3 มิติ ทำได้โดยการที่ใช้ฉาก Green Screen เพื่อให้ภาพดูมีมิติมากขึ้น และทางทีมงานได้มีการออกแบบฉากหลังมาเป็นอย่างดี เพื่อให้ฉากหลังส่งให้คฤหาสน์ดูเด่นจึงได้เลือกใช้ฉากหลังเป็นต้นสน ที่เมื่อมองแล้วให้ความโอ่อ่าและให้ความรู้สึกที่หนักแน่น



นอกจากโปสเตอร์แผ่นนี้ หนังเรื่อง The Grand Bhudapest Hotel ยังมีโปสเตอร์อื่นๆอีกมากมาย แต่ที่ผมเลือกโปสเตอร์แผ่นนี้มาเนื่องจากเป็นโปสเตอร์ที่ผมชอบมากที่สุดเลยต้องการนำมาเผยแพร่ให้ผู้อ่านบล็อกทุกท่านที่สนใจครับ สุดท้ายนี้ผมก็มีโปสเตอร์หนังเรื่อง The Grand Bhudapest Hotel ที่เหลือมาฝากด้วยนะครับ


Wednesday, February 18, 2015

คิดว่ามันง่ายหรืออย่างไร ที่จะมีหัวใจจิตอาสา ?

"นุ่น" พัชญา สาทา หรือที่เพื่อนๆ รู้จักกันในนามของ "นุ่นอาสา" เธอคือ 1 ในผู้นำองค์กรนิสิตของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ นั่นก็คือชมรมอาสาพัฒนามหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เป็น 1 องค์กรที่ช่วยขับเคลื่อนกลไกความมีจิตอาสาในตัวของนิสิตที่เรียนอยู่ในมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ให้มีจิตสำนึกต่อสาธารณะ มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อคนในสังคม อันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการอยู่ร่วมกันของคนในสังคม ซึ่งกว่าที่ นุ่น พัชญา สาทา จะสามารถมายืนอยู่ ณ จุดนี้ได้นั้นไม่ได้เป็นเรื่องง่ายๆ เลย เธอต้องผ่านบททดสอบทั้งร่างกายและแรงใจจากรุ่นพี่หลายๆคนในชมรม อีกทั้งในส่วนของการไปค่ายอย่างสม่ำเสมอซึ่งเธอก็ทำได้เป็นอย่างดี ไม่ได้ขาดตกบกพร่อง จนถึงวันที่เลือกตั้งประธานชมรม ทุกๆคนก็ได้ไว้วางใจในการคัดเลือกให้เธอเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนชมรมอาสาพัฒนามหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่าประธานชมรม

วันนี้ผมได้มีโอกาสเข้าไปสัมภาษณ์เธอถึงแรงบันดาลใจในการทำงานจิตอาสาและพูดคุยถึงปัญหาต่างๆที่เธอได้พบเจอแล้วอยากจะแก้ไขให้ดีขึ้น เรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้นติดตามอ่านกันได้เลยครับ

ประวัติส่วนตัว
ชื่อจริง พัชญา นามสกุล สาทา ชื่อเล่น นุ่น เกิดเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2536 เป็นนิสิตชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาเอกภาษาไทย(กศ.บ.) คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานชมรมอาสาพัฒนามหาวิทยาลัศรีนครินทรวิโรฒ

1.ทำไมถึงอยากทำงานจิตอาสา ?
ก่อนหน้านี้ที่จะเข้ามหาวิทยาลัย ไม่เคยรู้ตัวเองเลยว่าชอบทำกิจกรรมหรือทำค่ายในรูปแบบนี้ รู้แค่ว่าตัวเองจะเป็นขี้สงสารเพราะเพื่อนบอกว่าเราชอบให้เงินเวลามีคนที่เขาเป็นขอทานมาขอ เราก็จะให้โดยไม่คิดให้ดีก่อนว่าเขาเป็นคนพิการจริงๆหรือเป็นแค่มิจฉาชีพ พอเราเข้ามหาวิทยาลัยตั้งแต่ปีหนึ่งต้นเทอมแรกเลยรุ่นพี่ที่เรียนวิชาเอกเดียวกันเขาก็ชวนให้เราไปค่ายเพื่อนใหม่ซึ่งเป็นค่ายแรกของชมรมอาสาพัฒนา มศว เราก็ได้มีโอกาสได้ทำกิจกรรมต่างๆภายในค่ายไม่ว่าจะเป็นเทพื้นถนนให้โรงเรียน จัดกิจกรรมให้กับเด็ก ทำให้เรารู้สึกว่ากิจกรรมพวกนี้มันก็สนุกดีและก็มีประโยชน์กับคนอื่นด้วย โดยเราก็สังเกตจากรอยยิ้มของเด็กๆที่เราไปทำกิจกรรมร่วมกับเขา ในวันที่พวกเราจะออกมาจากค่ายเด็กๆก็วิ่งมากอดเราและก็ร้องไห้ ถามว่าเราจะกลับมาหาพวกเขาอีกไหม เราก็รู้สึกตกใจเหมือนกันนะที่อยู่ดีๆคนที่พึ่งจะมารู้จักกันไม่กี่วัน เราร้องไห้ให้กันได้ด้วยหรอมันคงเป็นความรู้สึกอะไรสักอย่างที่ดีมากแน่ๆที่พวกเรายังมีการโบกรถกันไปเซอร์เวย์ค่ายตามสถานที่ต่างๆ ทำให้เรารู้สึกว่ายังมีคนไทยอีกมากมายที่มีน้ำใจ อีกทั้งเพื่อนๆรุ่นพี่รุ่นน้องที่อยู่ในชมรมเวลามีปัญหาอะไร เราไม่เพียงช่วยกันแค่เพียงเรื่องงาน เรื่องส่วนตัวเวลามีอะไรเราปรึกษากันได้ มิตรภาพที่เกิดขึ้นและความประทับใจต่างๆเหล่านี้ รวมทั้งการได้แบ่งปันสิ่งดีๆให้คนที่ขาดโอกาส มันทำให้ฉันอยากทำงานอาสา แม้ว่าเราจะเรียนจบไปแล้วก็คิดไว้ด้วยว่ายังจะทำกิจกรรมแบบนี้ต่อไป นอกจากนี้แล้วการมาค่ายอาสามันทำให้เรารู้จักกับเพื่อนใหม่ๆ รุ่นพี่ รุ่นน้อง ทั้งคณะเดียวกันและต่างคณะกัน มันเป็นมิตรภาพที่ดีมากๆ พอกลับออกมาจากค่ายพวกเราก็ชวนกันไปเที่ยวบ้าง กินข้าวด้วยกันบ้าง สิ่งเหล่านี้มันทำให้ฉันมีความสุขทำให้ฉันอยากไปค่ายอีกครั้งอยากรู้จักเพื่อนเยอะๆ พอค่ายต่อไปที่ไป พี่ที่เขาเป็นกรรมการชมรมก็มาขอให้เราไปช่วยทำกิจกรรมในค่าย ไปเป็นอนุกรรมการนั่นเป็นงานแรกในชมรมอาสาที่เราได้ทำ หลังจากนั้นเราก็ได้เข้ามาเป็นคณะกรรมการของชมรมอย่างเต็มตัว เราไปค่ายทุกค่ายของชมรมไม่เคยขาด ในแต่ละค่ายจะมีปัญหาต่างกัน แต่ละปัญหามันสอนให้เราโตขึ้น ความรับผิดชอบมากขึ้น มีความคิดรู้จักแก้ไขปัญหามากขึ้นและการทำงานร่วมกับคนอื่นนั้นมันสอนให้ฉันลดความเป็นตัวตนและรับฟังความเห็นของคนอื่นมากขึ้น นอกจากนี้เราได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆมากมายจากชมรม เช่น การเซอร์เวย์ค่าย


2.ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบในการทำงาน ?
ปัญหาที่สำคัญ คือปัญหาเรื่องงบประมาณของการทำค่ายอาสาในแต่ละครั้ง งบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนนั้นได้มาไม่เพียงพอ พวกเราจึงต้องช่วยกันในการหาทุนเพื่อสนับสนุนให้การจัดค่ายแต่ละครั้งให้มีเงินหรือวัสดุต่างๆเพียงพอ ในการที่พวกเราจะเข้าไปช่วยเหลือโรงเรียนต่างๆ  วิธีการหาทุนในการช่วยเหลือก็มีหลายทางทั้งการหาผู้สนับสนุนจากทางบริษัทสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆรวมไปถึงการเล่นกีตาร์เปิดกล่องขอรับบริจาคเงินตามสถานที่ต่างๆ การที่พวกเราทำเช่นนี้ก็มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย คนที่เห็นด้วยเขาก็จะให้ความช่วยเหลือเรา คนละเล็กคนละน้อย คนไหนไม่ได้เดินมาบริจาคเงินก็เดินมาคุยด้วยให้กำลังใจก็มี พวกเราก็เก็บเอาสิ่งดีๆเหล่านั้นมาเป็นแรงใจในการทำงานไม่เก็บเอาความคิดของคนที่ไม่เห็นด้วยมาบั่นทอนการทำงานช่วยเหลือสังคมของพวกเราเอง

เรื่องที่สองคือการทำงานค่ายอาสาในแต่ละครั้งไม่เพียงแต่ทำงานร่วมกับเพื่อนๆ รุ่นพี่ รุ่นน้อง ที่เป็นนิสิตเท่านั้นยังต้องทำงานร่วมกับองค์กรอื่นในมหาวิทยาลัย ไม่ใช่เพียงแค่การรวมกลุ่มกันไปหาโรงเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือแล้วไปทำค่ายกันได้เลย ต้องมีการเขียนเอกสารขออนุมัติโครงการและงบประมาณหรือหนังสือขออนุญาตพานิสิตที่เข้าร่วมโครงการของเราออกนอกสถานที่อีกเป็นต้น บางครั้งก็จะเกิดความล่าช้าบ้างโดยส่วนใหญ่ก็จะมีสาเหตุมาจากที่คนในชมรมยังบริหารเวลาในการจัดการงานไม่ดี เพราะทุกคนที่มาทำงานรวมกันนี้ ก็ต่างมีภาระงานอื่นๆที่เป็นหน้าที่ของตนเอง แต่ในทุกๆครั้งพวกเราก็จะช่วยเหลือกันจนงานสำเร็จไปได้ด้วยดี

ส่วนปัญหาอื่นๆในการทำงานร่วมกันอาจจะมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่พวกเราก็จะหันหน้าคุยกันและรักษามิตรภาพที่ดีของพวกเราไว้ได้เหมือนเดิม


3.สิ่งที่ได้รับกลับมาจากการทำงานจิตอาสา ?
ประสบการณ์ในการทำงานจากค่ายที่สามารถนำไปปรับใช้ในการเรียน การทำงานของตนเองได้เป็นอย่างดี และมิตรภาพจากเพื่อนร่วมงานที่ดีมาก และสุดท้ายก็คือความสุขใจที่เราได้เป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคมให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น


4.จิตอาสากับสังคมโลก ในฐานะที่เรากำลังจะเปิดอาเซียน จิตอาสามีผลอย่างไรบ้าง ?
การทำงานด้านจิตอาสาทั่วโลกหรือในประเทศอาเซียนนั้น จะเห็นได้ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่ทำงานตรงนี้ ดังนั้นการที่เราเปิดประเทศอาเซียนอาจจะทำให้เราได้มีโอกาสพบกับคนที่ทำงานเพื่อสังคมด้วยกันจากต่างประเทศมากขึ้น เราอาจจะได้มีการแลกเปลี่ยนแนวคิดการทำงานเพื่อช่วยเหลือสังคมด้วยกัน และการทำงานเพื่อสังคมของเราอาจจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นและส่งผลให้สังคมให้น่าอยู่มากเพิ่มขึ้นอีกด้วย


5.อยากพัฒนาอะไรให้กับจิตอาสาไทยบ้าง ?
จากการทำงานตรงนี้ทำให้เราเห็นว่ามีหลากหลายองค์กรมากมายที่มีกิจกรรมเกี่ยวกับการทำงานด้านจิตอาสา ยกตัวอย่างเช่น ชมรมฝ่ายบำเพ็ญประโยชน์ในมหาวิทยาลัยต่างๆ เราอยากจะเห็นการทำงานของค่ายที่เกี่ยวกับจิตอาสาต่างๆ เป็นการทำงานเพื่อช่วยเหลือสังคมจริงๆ ไม่ใช่เป็นการทำค่ายเพื่อสนองความต้องการของตนเอง ชุมชนหรือโรงเรียนที่เราเข้าไปช่วยเหลือต้องได้รับประโยชน์มากที่สุด ไม่อยากให้คนที่มาทำงานจิตอาสาตรงนี้คิดว่า ค่ายอาสาคือที่ท่องเที่ยวราคาถูก แต่มันคือแหล่งสะสมประสบการณ์และการแบ่งปันสิ่งดีๆคืนสู่สังคม



Monday, February 2, 2015

อ่านสักนิด ชีวิตก็เปลี่ยน

http://sv6.postjung.com/wb/data/679/679999-topic-ix-0.jpg
ปัจจุบันนี้การใช้สื่อแบบสังคมออนไลน์ติดต่อกันในทุกรูปแบบ social network ได้เข้ามามีส่วนในชีวิตประจำวันของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ในยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก ไม่ใช่แค่เพียงบนเครื่อง Desktop ที่สามารถต่ออินเตอร์เน็ตเท่านั้น ยังรวมไปถึงบน    สมาร์ทโฟนอีกด้วย  โดยใช้เครื่องมืออะไรก็ได้ที่เป็นทางผ่านเพื่อให้เข้าได้ถึงโลกของสังคมเครือข่าย โดยไม่ได้คำนึงถึงโลกของความจริงรอบตัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างและคนส่วนใหญ่ในสังคมสมัยใหม่ก็ถึงกับขาดไม่ได้จนทำให้พฤติกรรมเหล่านี้เป็นโรคเสพติด
http://www.tabletpcthai.com/userfiles/68622119-cell-phone.jpg

social network กลายเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนบริการต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต และผู้คนถูกเชื่อมโยงเข้าหากันผ่าน social network เกิดพฤติกรรมการแชร์ มีการแลกเปลี่ยน ข้อมูล ข่าวสารมากมาย เริ่มแสดงออกและนำชีวิตส่วนตัวมาเปิดเผยมากขึ้น ผู้ใช้ก็อยากรู้เรื่องราวและชีวิตส่วนตัวของคนอื่นมากขึ้น ทุกคนก็อยากให้คนอื่นมาสนใจเรื่องของตัวเอง ผ่านทางเครื่องมืออย่าง ยกตัวอย่างเช่น การคอมเมนต์ การแชร์รูป การโพสต์สถานะว่าทำอะไร คิดอะไร หรืออยู่ที่ไหน เมื่อมีการเปิดเผยเรื่องของตัวเองมากขึ้น เริ่มมีเพื่อน คนรู้จักมาให้ความสนใจมากขึ้น กลายเป็นพฤติกรรมที่กระตุ้นให้เปิดเผยเรื่องของตัวเองที่เคยเป็นเรื่องส่วนตัวมากยิ่งขึ้น จนหลายครั้ง ผู้ใช้เริ่มแยกแยะไม่ออก เรื่องใดควรเปิดเผยหรือไม่ควรเปิดเผย ควรเปิดเผยกับใครและไม่ควรเปิดเผยกับใครคนส่วนใหญ่เริ่มขาดความระมัดระวังในเรื่องของการแชร์เรื่องของตัวเอง ขาดความตระหนักถึงภัยอันตรายที่เกิดจากความรู้ไม่เท่าทัน ความน่าเป็นห่วงของคนสมัยนี้คิอเครือข่ายสังคมทั่วโลกที่เกิดขึ้น ความไม่รู้ถึงโอกาสถูกติดตามและถูกคุกคามในโลกความจริง เพียงแค่รูปถ่ายหนึ่งใบที่โพสต์ที่มีชื่อที่อยู่ หรือเลขที่บ้านปรากฏอยู่ก็สามารถเป็นข้อมูลติดตามตัวได้ง่ายดาย หรือการโพสต์รูปสินค้าราคาแพงๆที่ซื้อมาเพื่ออวดเพื่อน ก็จะเป็นการชี้ช่องทางให้กลุ่มมิจฉาชีพโดยที่เราไม่รู้ตัว 
การที่เราทำกิจกรรมใดๆโดยขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องนั้นๆก็มักจะทำให้เราเกิดข้อผิดพลาดได้อยู่เสมอ วันนี้ผมเลยนำเกล็ดความรู้พื้นฐานที่จำเป็นต่อการใช้ Social Network ที่หลายๆคนอาจมองข้ามมาฝากครับ


สิ่งที่ผมได้นำมาฝากผู้อ่านบล็อกทุกท่านนั้น เป็นความรู้พื้นฐานก่อนที่ทุกท่านจะเริ่มใช้ Social Network กัน ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามควรจะศึกษาข้อมูลเหล่านี้ก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมข้อมูลผ่านทาง Interenet ความรู้พื้นฐานเหล่านี้เป็นสิ่งที่สามารถช่วยเตือนสติผู้ใช้ Social Network ให้คิดก่อนทำคิดก่อนโพสต์ได้เป็นอย่างดี และสุดท้ายนี้ผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งครับว่าเกล็ดความรู้เล็กๆน้อยๆที่ผมนำมาฝากผู้อ่านบล็อกทุกท่านนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากกับทุกๆท่านที่ได้อ่านนะครับ
ธนวิชญ์

Sunday, February 1, 2015

Lucky $2 bill !

จริงหรือมั่ว ชัวร์หรือไม่ ?


สวัสดีผู้อ่านบล็อกทุกท่านครับ กลับมาอีกครั้งกับการถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของผมโดยการถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือผ่านบล็อก ซึ่งเรื่องที่ผมจะได้นำมาเล่าให้ทุกท่านฟังเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อความเชื่อหนึ่งของฝรั่งชาวอเมริกัน ซึ่งต้องของบอกก่อนเลยนะครับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมากสำหรับคนไทยอย่างผม


ผมได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อ 6 เดือนที่ผ่านมาในโครงการ Work and travel โดยเมืองที่ผมได้เดินทางไปนั้นมีชื่อว่า Midland อยู่ทางตอนกลางของรัฐ Texas ซึ่งภูมิประเทศโดยรอบแล้วเป็นทะเลทราย โดยการไปทำงานครั้งนี้ผมได้ไปทำอยู่ในร้าน Fastfood คล้ายๆกับร้าน Mc Donald's บ้านเรา แต่แตกต่างกันที่ร้านที่ผมไปทำนั้นจะไม่มีโต๊ะให้ลูกค้านั่งทานในร้าน ส่วนใหญ่จะเน้นเสริฟอาหารตามที่จอดรถที่ร้านเตรียมไว้ให้ หรือถ้าจะอธิบายง่ายๆก็คือแค่ท่านจอดรถในบริเวรของร้าน แล้วกดปุ่มสั่งอาหารที่อยู่ทางซ้ายมือของท่าน อาหารที่ท่านต้องการก็จะออกไปหาท่านภายใน 3 นาทีเท่านั้น
แล้วมันเกี่ยวข้องยังไงกับความเชื่อละครับ นี่ไงครับผมกำลังจะเล่าว่าตอนแรกๆที่ผมไปทำงานเนี่ย อยู่แต่ในห้องครัวครับ ทำเครื่องดื่มแล้วให้คนอื่นไปเสริฟซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าภาษาอังกฤษเราไม่ค่อยดี นายจ้างเลยคิดว่าเรายังไม่พร้อม พอผมรู้อย่างนั้นก็พยายามพัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยๆภายในเวลาไม่เกิน 2 อาทิตย์ผมก็ได้มีโอกาสออกไปเสริฟอาหารเหมือนที่เด็กฝรั่งเขาทำกันบ้าง ตื่นเต้นมาเลยครับเพราะเป็นคนไทยคนแรกที่มีโอกาสได้ทำ


เรื่องราวเริ่มต้นจากวันแรกที่ผมย้ายตำแหน่งไปเป็นเด็กเสริฟนี่แหละครับ ซึ่งแน่นอนว่าการออกไปเสริฟอาหารให้ลูกค้า จะต้องมีการรับเงินทอนเงินกันเกิดขึ้น ในตอนแรกๆผมก็ไม่ได้สังเกตอะไรนะครับเพราะมัวแต่กลัวว่าจะทอนเงินผิดๆให้กับลูกค้าเพราะค้าเงินไทยกับดอลลาร์มันต่างกัน จนเมื่อผมได้เจอลูกค้าท่านนึง เธอสั่งเมนูอาหารแบบราคาประหยัดหรือที่เรียกว่า Dollars Menu ซึ่งผมก็ได้รับหน้าที่นำไปส่งที่รถของเธอ เมื่อเธอเห็นผมเดินมาเธอก็ได้เลื่อนกระจกลงแล้วสอบถามราคา ผมซึ่งเป็นคนที่ไม่ค่อยจะอายเมื่อถึงเวลาพูดภาษาอังกฤษแล้วคิดเพียงแค่จะสื่อสารยังไงให้เขารู้เรื่องก็ได้สวัสดีสอบถามว่าสบายดีไหมเป็นยังไงบ้างไปเรื่อยเปื่อย และได้คุยกันประมาณ 30 วินาทีโดยประมาณ โดยปกติแล้วธรรมเนียมของคนอเมริกันเมื่อมีการบริการที่ไหน การให้ทิปถือเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เช่นเดียวกับผู้หญิงคนนี้ อาหารของเธอราคา $7.50 เธอยื่นแบงค์ $50 แบงค์ แล้วเธอก็พูดประมาณว่า "ขอให้สนุกกับการทำงาน ฉันเชื่อว่าคุณจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จจากการทำงานถึงแม้จะเป็นร้านฟาสฟู้ดธรรมดาก็ตาม" แล้วเธอก็เอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าเพื่อควักแบงค์ดอลลาร์อีกใบหนึ่งซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อนพร้อมกับพูดว่า "เก็บมันไว้นะ มันจะนำพามาซึ่งความโชคดีและความมั่งคั่ง อ่อแล้วไม่ต้องทอนนะคุณเหมาะสมที่จะได้รับมัน" ความประหลาดใจอย่างแรกคือเธอเป็นลูกค้าที่อัธยาศัยดีมากจนผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง อย่างที่สองคือที่ผ่านๆมาผมจะได้ทิปในการเสริฟอาหารในแต่ละครั้งอยู่ที่ $2-$20 เท่านั้น เธอเป็นคนแรกที่ให้ทิปผมเยอะมากขนาดนี้ และอย่างสุดท้ายอย่างที่ 3 เธอเอาแบงค์ $2 ที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนทั้งในตอนไปแลกเงินก่อนจะไปที่นั้น และผมอยู่ที่นั่นมาเกือบ 1 เดือนผมก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน

ด้วยความที่ผมเป็นช่างสงสัยไม่อยากให้อะไรมันค้างคาเลยกลับเข้าไปถามเพื่อนในร้านที่เป็นชาวอเมริกันด้วยความเร่งรีบ พอเข้าไปถึงในร้านผมก็ตรงดิ่งเข้าไปหาเด็กเสริฟด้วยกัน เมื่อผมหยิบแบงค์ $2 ขึ้นมาเพียงเท่านั้นบรรยากาศในร้านเต็มไปด้วยเสียงอุทานราวกับว่าทุกคนตกใจกับสิ่งผมทำลงไป ณ ตอนนั้นกังวลมากครับเพราะเป็นช่วงที่แบงค์ปลอมระบาด คิดในใจว่าผมโดนหลอกแน่ๆ หลังจากนั้นนายจ้างก็รีบเดินเข้ามาแล้วพูดประมาณว่า "คุณโชคดีมากเลยนะรู้มั้ย คนบางคนทำงานที่นี่มาเกือบปียังไม่เคยได้แบงค์ $2 มาก่อนเลย" นายจ้างได้สร้างความประหลาดใจให้ผมเป็นอย่างมาก ณ เวลานั้น ซึ่งผมก็ได้ถามต่อไปว่าแล้วมันดียังไงหรอความเชื่อนี้ นายจ้างก็ได้อธิบายว่า

"คนที่ทำมาค้าขายถ้าได้รับแบงค์ $2 จะเหมือนเป็นการอวยพรให้โชคดีในการค้าขาย จะมีโชคลาภเงินทองไหลมาเทมา และจะประสบความสำเร็จในการทำงาน เพราะโดยส่วนมากแล้วใครที่มีแบงค์ $2 นี้ก็มักจะเก็บไว้กับตัวเองไม่ส่งต่อให้ใครเพราะมีความเชื่อว่าจะเก็บไว้ให้เป็นเครื่อลางนำโชคให้กับตัวเองนั่นเอง เก็บมันไว้ในกระเป๋าตังค์นะแล้วคุณจะโชคดี"


ตอนแรกผมไม่เชื่อเลยนะครับว่ามันจะเป็นจริง เพราะคนในร้านเป็นคนติดตลก อาจจะอำกันเล่นก็เป็นได้ แต่หลังจากนั้นผมก็เก็บแบงค์ $2 ไว้ในกระเป๋าตังค์ตลอดโดยที่ไม่ใช้เลยนะครับ แล้วหลังจากวันนั้นพอผมไปทำงานเป็นเด็กเสริฟอีก ทิปที่ผมได้ก็เริ่มเยอะขึ้นนายจ้างก็ให้ชั่วโมงงานที่เยอะขึ้น (ประมาณว่าเยอะกว่าเพื่อนคนไทยที่ไปด้วยกันและให้ทำทุกวันเวลาเดิมเป็นอันนำมาซึ่งรายได้ที่คงที่) พอมานับทิปที่ผมได้ สัปดาห์แรกที่ผมทำงานเป็นเด็กเสริฟได้เงินเฉลี่ยนต่อวันเพียง $60 สัปดาห์ถัดมาหลังจากที่ได้แบงค์ $2 แล้วทิปอยู่ที่ $120 อาทิตย์ต่อๆมาก็ได้เยอะขึ้นเรื่อยๆถึงขั้นได้สูงสุดถึง $152 ต่อวันซึ่งเป็นอะไรที่สร้างความประหลาดใจให้กับผมเป็นอย่างมาก แทบไม่เชื่อตัวเองเลยว่าทำไมถึงโชคดีอะไรได้ถึงขนาดนั้น อาจจะเป็นเพราะทำงานดีขึ้นคล่องขึ้นพูดเก่งขึ้น แต่ก็ไม่น่าจะทำได้ถึงขนาดนั้น ผมเลยยกความโชคดีทั้งหมดนี้ให้กับแบงค์ $2 ของผมอย่างเดียวเลยครับ  


ปัจจุบันนี้ผมมีแบงค์ $2 อยู่ในกระเป๋าตังค์ถึง 2 ใบแล้วครับ และก็คิดว่าจะเก็บไว้ต่อไปไม่ใช้อย่างแน่นอน เพื่อเก็บไว้เป็นเครื่องลางอันนั้นมาซึ่งความโชคดีของผมยังไงละครับ


Monday, January 19, 2015

ลองอ่านสักนิด ชีวิตก็เปลี่ยน

แฮร์รี่พอตเตอร์ วรรณกรรมเยาวชนที่เสกมนต์ให้วัยเด็กของผมนั้นสดใสมากขึ้น และเปลี่ยนชีวิตที่น่าเบื่อของผมไปตลอดกาล !

สวัสดีผู้อ่าน Blog ทุกท่านนะครับ ผมไม่ได้เขียน Blog เป็นเวลานานมากเลย กลับมาคราวนี้เลยจะนำหนังสือที่เป็นสื่อสิ่งพิมพ์ที่ผมชื่อชอบมากที่สุดมาฝากผู้อ่าน Blog ทุกท่านนะครับ โดยเลือกจากหนังสือที่ผมชอบอ่านมากที่สุดเลยนั่นก็คือ แฮร์รี่พอตเตอร์ นั่นเองครับ

รูปภาพ : http://pirun.ku.ac.th/~b521130159/1250911366.jpg

จากการที่ผมเป็นเด็กที่ไม่ชอบการอ่านหนังสือเลย ไม่ว่าจะเป็นบทความสั้นๆหรืออะไรก็ตามที่ต้องใช้การอ่านเพื่อทำความเข้าใจ ผมไม่มีความคิดที่จะอ่านเลย จนได้มารู้จักหนังสือเล่มนี้ เป็นเรื่องราวลึกลับของการใช้เวทย์มนต์ ที่มีความหลากหลาย ไม่ว่จะเป็น กระทรวงเวทย์มนต์ ที่ชวนให้คิดว่าถ้าเรื่องเหล่านี้มีอยู่จริงบนโลกนี้ละ ทั้งยัง ลอร์ดโวลเดอมอร์ ที่สามารถตายแล้วเกิดใหม่ได้อีก อาจจะเหมือนมัมมี่ที่อียิปต์ ทั้งยังการใช้คำสาปต่างๆ ที่ได้สอดแทรกความรู้ในภาษาอังกฤษโดยนำมาเป็นชื่อคาถาให้ได้ค้นหาความหมายกันอีก และเนื้อเรื่องที่เริ่มจากเด็กผู้ชายธรรมดาๆที่เป็นเด็กกำพร้า แม้เขาจะอาศัยอยู่ในก้องเก็บของใต้บันใดของบ้าน แต่โดยนิสัยแล้ว แฮร์รี่ไม่ต่างอะไรกับเด็กคนอื่นๆเลย และแล้ววันหนึ่ง แฮร์รี่ก็เริ่มได้รับจดหมายประหลาด มาพร้อมกับยักษ์ตัวใหญ่เคราดกถือร่มสีชมพูเพื่อมาประกาศว่า แฮร์รี่นั้นได้กลายเป็นนักเรียนใหม่ในโรงเรียนคาถาพ่อมดและเวทย์มนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ นับจากวินาทีนั้นเรื่องราวก็น่าติดตามขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่เป็นที่แปลกใจเลยที่เมื่อผมได้เปิดอ่านหน้าแรกแล้วรู้สึกอยากอ่านต่อในหน้าถัดๆไป ไม่อยากให้จบเล่มเลย ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องที่ทำให้ผมต้องไปซื้อหนังสือแฮร์รี่ ภาค 2 และภาคต่อๆไปมาอ่าน 

หากย้อนไป ณ เวลานั้น ผมยังเรียนอยู่ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 2 จำได้แม่นเลยว่า ไปต่อแถวซื้อหนังสือแฮร์รี่พอตเตอร์ ภาค ภาคีนกฟินิกซ์ เพื่อที่จะได้ซื้อหนังสือที่ตีพิมพ์ครั้งที่ 1 เป็นแรกๆของจังหวัดแพร่ ในตอนนั้นคนที่อยากอ่านหนังสือแฮร์รี่พอตเตอร์กับภาคนกฟินิกซ์มีจำนวนเยอะมากๆ จนล้นออกไปรอนอกร้านหนังสือ ร้านหนังสือที่ผมไปต่อคิวซื้อนั้นได้โควต้าการจำหน่ายวันแรกเพียง 100 เล่มเท่านั้น ในตอนแรกผมนึกว่าจะไม่ได้หนังสือเล่มนี้มาครองเสียแล้ว แต่กลับกัน ผมกับได้สิทธิ์ในการซื้อเป็นคนที่ 11 ของร้าน เนื่องจากไปยืนรอหน้าร้านตั้งแต่ 7 โมงเช้า ถ้าพูดถึงชีวิตที่สำคัญของเด็กชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 คนนึง นั่นแหละครับเป็นช่วงเวลาที่มีค่าช่วงเวลาหนึ่งของผมเลยละ

นอกจากหนังสือแฮร์รี่พอตเตอร์จะให้ความเพลินเพลินสนุกสนานในการอ่านแล้ว หนังสือนวนิยายเล่มนี้ยังฝึกฝนการมีจินตนาการของเด็กๆเป็นอย่างมากอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น ไม้กวาดวิเศษที่บินได้ ม้ามีปีก การเคลื่อนย้ายบ้านทั้งหลังโดยการร่ายเวทย์มนต์เพียงแปปเดียวเท่านั้น สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ชวนให้ผู้อ่านหลงไหลไปกับเนื้อเรื่อง ทั้งยังคอยจินตนาการตามถึงภาพต่างๆที่เกิดขึ้นว่าควรจะเป็นไปอย่างไร เพราะสิ่งที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ไม่มีอยู่ในชีวิตจริงและเป็นสิ่งที่ไม่มีใครเคยพบเห็นหรือพบเจอมาก่อนเป็นอย่างแน่นอน

หนังสือแฮร์รี่พอตเตอร์ มีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 7 ภาค 7 ผู้แต่งคือ เจ.เค โรลลิ่ง 

 
เล่มที่ 1 แฮร์รี่พอตเตอร์กับศิลาอาถารรถ์

เล่มที่ 2 แฮร์รี่พอตเตอร์กับห้องแห่งความลับ

เล่มที่ 3 แฮร์รี่พอตเตอร์กับนักโทษแห่งอัซคาบัน

เล่มที่ 4 แฮร์รี่พอตเตอร์กับถ้วยอัคนี

เล่มที่ 5 แฮร์รี่พอตเตอร์กับภาคีนกฟินิกซ์

เล่มที่ 6 แฮร์รี่พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม

เล่มที่ 7 แฮร์รี่พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต

ถ้าพูดถึงเล่มโปรดของผมละก็ต้องเป็น แฮร์พอตเตอร์กับภาคีนกฟีนิกซ์ ที่นอกจากจะนำเสนอเรื่องราวที่น่าสนใจ ให้ความเพลิดเพลิน และจินตนาการแล้ว ในภาคนี้ยังให้แฝงแง่คิดในเรื่องของบุคคล เป็นเรื่องราวที่แฮร์รี่นั่นต้องสูญเสียพ่อทูนหัวที่เปรียบเสมือนญาตของเขาไป จากฝีมือของ เบลาทริก เลสแตรง ที่พึ่งแหกคุกอัซคาบันออกมา และยังเป็นคนๆเดียวกันกับคนที่ทรมารพ่อแม่ของเนวิล ลองบัททอม เพื่อนของแฮร์รี่อีกด้วย โดยจากการเขียนเล่าเรื่องของเหตุการณ์นี้ เป็นการเขียนที่ทำให้ผู้อ่านอย่างผม รู้สึกเสียใจไปพร้อมๆกับแฮร์รี่อีกด้วย ทั้งยังให้แง่คิดเกี่ยวกับคนที่เรารักว่าถ้าสักวันนึงเราต้องเสียเขาไป คงเจ็บปวดใจไปไม่น้อยกว่าแฮร์รี่ ทำให้ผมกลับมามองคนรอบข้าง และปฏิบัติต่อเขาดียิ่งขึ้น

สุดท้ายนี้ ผมอยากให้ผู้ที่ได้อ่าน Blog ของผมทุกท่านลองไปค้นหาหนังสือเหล่านี้อ่านดู ผมเชื่อแน่ๆว่าหนังสือแฮร์รี่พอตเตอร์ทั้ง 7 ภาคนี้ จะต้องทำให้ทุกๆคนหลงรักตัวละครในหนังสือนี้เป็นอย่างแน่นอนครับ 

ธนวิชญ์